เทศน์เช้า วันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เดี๋ยวนี้โลกเจริญไง โลกเจริญเขาใช้เทคโนโลยี ใช้เทคโนโลยี เห็นไหม เวลาเราใช้มัน แต่นิสัยเราเราเอาตัวเราเป็นหลัก ใช้มันเป็นประโยชน์ส่วนน้อย ถ้าเราใช้เป็นประโยชน์ส่วนใหญ่ เราใช้มันจนลืมคนนะ ลืมความเป็นมนุษย์ เราใช้เทคโนโลยีแล้วเทคโนโลยีเป็นใหญ่กว่าเรา ทุกอย่างใหญ่กว่าเราหมด
ดูสิเราต้องการแก้ว แหวน เงิน ทอง ปัจจัยเครื่องอาศัย เราอาศัยมันนะ แต่สุดท้ายมันใหญ่กว่าเรา ใหญ่กว่าหมดเลยเพราะมนุษย์ยอมจำนนต่อมัน มนุษย์ไปยอมจำนนกับเขา ไปยอมจำนนกับเขา เขาเหยียบย่ำเราเอง แต่ถ้ามนุษย์ไม่ยอมจำนนกับเขา เห็นไหม มนุษย์มีคุณค่ามาก นี่มนุษย์สมบัติ มนุษย์สมบัติสุดยอดเลย แต่เราไปยอมจำนนกัน ยอมจำนนกับธาตุ ยอมจำนนกับวัตถุ ยอมจำนนกับเทคโนโลยี
ดูสิเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เห็นไหม นี่มันธรรมเหนือโลก ธรรมเหนือโลกแต่คนไม่ถึงมันกันเอง พอเข้าไม่ถึงเอง วันพระ วันเจ้า วางไว้เลยให้วันพระ วันพระหมายถึงว่าให้เป็นวันของเราไง วันของความเป็นมนุษย์ ถ้าเป็นวันปกติ วันทำการ วันทำการเราต้องไปตามกระแสสังคม เราต้องไปตาม
นี่มนุษย์ก็เป็นสัตว์ประเสริฐ เป็นผู้สร้างกฎหมายขึ้นมา ประเพณีวัฒนธรรมก็เกิดขึ้นมาจากมนุษย์ แต่ประเพณีวัฒนธรรมมันจะเข้าไปถึงธรรม ประเพณีวัฒนธรรม เห็นไหม เป็นวิธีการเฉยๆ นี่ประเพณีวัฒนธรรม วันพระ วันเจ้าก็เป็นประเพณีวัฒนธรรมเพื่อจะให้เห็นความสำคัญของความเป็นมนุษย์ไง แต่เราก็ทวนกระแสไม่ไหวนะ มันไปกับโลกหมดเลย
โลกนี่ถ้าเราหยุดวันพระ วันโกน มันไม่เข้ากระแสสังคม เพราะอะไร? เพราะว่าลัทธิต่างๆ ใครครองโลกล่ะ? นี่สื่อครองโลกนะ ใครครองโลก? คนที่ควบคุมสื่อ ควบคุมสื่อเขาเผยแพร่แต่ความรู้ของเขา แต่ความรู้ของธรรมล่ะ? ความรู้ของธรรมทำไม่ได้ เห็นไหม สมัยปฏิวัติขึ้นมาแล้ว เขาบอกว่าอย่าให้เทศน์นะเรื่องมักน้อยสันโดษ เพราะคนจะไม่ทำการทำงาน ให้เทศน์ทุนนิยม ทุนนิยมคือการแข่งขัน
นี่ทุนนิยมหรือสังคมนิยมไปไม่รอดทั้งคู่หรอก ไปไม่รอดทั้งคู่ เพราะสังคมนิยมเอาสังคมเป็นใหญ่ สังคมนิยมใช่ไหม? ไม่ใช่ธรรมนิยม ถ้าธรรมนิยม สภาวธรรม ความพอใจนะ นี่ดูสิอย่างที่ในหลวงท่านว่า เศรษฐกิจพอเพียง ความพอเพียงของใคร? เศรษฐีพอเพียงของเขา เขาก็อยู่ของเขา นี่ยาจกพอเพียงของเรา เราก็มีพออยู่พอกินของเรา ความพอเพียงไม่ใช่ว่าเอาไม้บรรทัดว่าต้องไม่ทำอะไรกันเลยไง
เขาถึงบอกว่า นี่ถ้าเป็นมักน้อยสันโดษแล้วสังคมจะไม่เจริญ มันเจริญด้วยแล้วมีความสุขด้วย นี่วันนี้วันพระ วันพระให้ดูแลเรา ดูแลเรานะ ดูแลคืออุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเราได้ดูแลอุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดูแลหัวใจของเรา นี่มันจะเป็นมนุษย์สมกับเป็นมนุษย์
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้ เห็นไหม มนุสสเดรัจฉาโน มนุสสเปโต มนุษย์เดรัจฉาน มนุษย์เปรต มนุสสเทโว มนุษย์เทวดา สิ่งที่เป็นมนุษย์ ความเป็นมนุษย์มันเป็นมนุษย์โดยหัวใจ ถ้าโดยหัวใจ เห็นไหม สเปโตเป็นสัตว์หรือเป็นเปรตมันเป็นจากหัวใจนะ แต่เรามองกันได้แค่ร่างกาย เทคโนโลยีหรือเรื่องธาตุ มนุษย์ก็คือมนุษย์ไง คนเหมือนกันเสมอภาค สิทธิเสมอภาค มีสิทธิของมนุษย์
ความเป็นสิทธิของมนุษย์ ใช่ สิทธิของความเป็นมนุษย์นี่คนคือคน คนที่มีจิตใจเป็นธรรม เราเมตตาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เรามีความเห็น เรามีความคิดที่เป็นสาธารณะ แต่มนุษย์ที่เป็นเดรัจฉาโน สเปโต นี่มนุษย์เหมือนกันแล้วอ้างสิทธิ์เหมือนกัน อ้างสิทธิ์เหมือนกัน เห็นไหม ดูสิเวลาประชาธิปไตย ถ้าเสียงข้างมากเป็นเสียงของโจร โจรมันพาประเทศไปล่มจมทั้งนั้นแหละ
แต่ถ้าเสียงข้างมากเป็นธรรม แล้วสิ่งที่เป็นธรรมสิ่งนี้มันเป็นบุญกุศลนะ บุญกุศลเพราะอะไร? เพราะเวลาเกิดขึ้นมา คนที่เกิดขึ้นมานี่บุญกุศลพาเกิด ถ้าบุญกุศลพาเกิด ความคิดมันจะเป็นสิ่งที่ดีๆ เวลาเกิดขึ้นมานี่สหชาติเกิดได้ยากมาก เวลาเราเกิดขึ้นมาแล้วเราอยากพบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครก็อยากพบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะรู้เรื่องกรรม จะรู้เรื่องอำนาจวาสนา จะสอนเรื่องตรงกับจริตเลย
แต่ครูบาอาจารย์ของเรา เห็นไหม นี่ถ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา สาวก สาวกะ สาวกบารมีบรรลุธรรมขึ้นมา สิ่งที่บรรลุธรรมขึ้นมา นี่โลกนอก โลกใน ถ้าโลกนอกเข้าใจ โลกในล่ะ? โลกในเข้าใจ ดับโลกในหมด แต่โลกนอก โลกนอกมันเป็นเรื่องสภาวะกรรม ถ้าเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างอำนาจวาสนามา นี่จะเห็นสภาวะแบบนี้
แล้วเห็นสภาวะแบบนี้แล้วนะ แล้วเวลาจะไปเทศนาว่าการ ก่อนเทศนาว่าการนี่เขาถึงหรือไม่ถึง เขาถึงไหม? ถ้าบารมีของเขาถึง เวลาเทศน์จะเทศน์เรื่องอริยสัจ ถ้าบารมีเขาไม่ถึง อนุปุพพิกถา เทศน์เรื่องทาน เรื่องศีล เรื่องนรก สวรรค์ แล้วก็เรื่องเนกขัมมะ แล้วก็เรื่องเห็นโทษของสวรรค์ นี่ต้องสร้างอำนาจวาสนาเพื่อให้ใจ เวลาเทศนาว่าการ เวลาเขาเก็บได้ไง เขารู้ เขาเปิดใจของเขา ถ้าไม่เปิดใจของเขานะ คนนี่ปิดใจมา หลับมานะ คนหลับมานะ ดูสิเราจะให้อาหารเขา คนหลับเขามีประโยชน์อะไร?
นี่หัวใจเรา ทั้งๆ ที่มาบวชเป็นพระเป็นเจ้าก็เหมือนกัน นี่เราติดเรื่องโลกมา เรื่องโลกคือความเห็นของเรานะ ความเห็นของเราคือความเห็นของโลก ถ้าความเห็นของธรรม เห็นไหม ข้อวัตรปฏิบัติ คำว่าข้อวัตรปฏิบัติ ไปอ่านไปในบุพพสิกขา นี่อาวุโส ภันเต สิทธิต่างกันอย่างไร? แล้วนี่อาจริยวัตร ครูบาอาจารย์กับเรามันต่างกันอย่างไร? ไม่ใช่ว่าเราคิดดี ทำดี ปรารถนาดี ทำดีเป็นความดี มันเป็นความดีของโลกนะ
เดี๋ยวนี้ในปัจจุบัน พระเรานี่เวลาเขานิมนต์ไปฉันที่บ้าน ไปฉันโต๊ะจีนกัน ไปนั่งห้อยเท้ากัน ไปนั่งในโต๊ะ เห็นไหม เขาบอกนั่นไงโลกเป็นใหญ่ แต่ถ้าเป็นธรรมทำอย่างนั้นไม่ได้ ไปทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก เพราะอะไร? เพราะธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ภิกษุไม่ให้ประพฤติปฏิบัติแบบอย่างคฤหัสถ์ คฤหัสถ์กับภิกษุการประพฤติให้ต่างกัน
ความประพฤตินะ คนเหมือนกัน คนๆ หนึ่งเป็นคฤหัสถ์ เขาอยู่ของเขาตามธรรมชาติของเขา แต่คนๆ หนึ่งมาบวชเป็นพระแล้วจะประพฤติตนอย่างนั้นไม่ได้ มันสมณสารูป มันเสียรูปแบบของสมณะ ความเป็นสมณะมันต้องมีธรรมวินัยครอบงำ มีธรรมวินัยควบคุมอยู่ ถ้าธรรมวินัยควบคุมอยู่ ธรรมวินัยนะ โลก เห็นไหม ดูสิเวลาเราเข้าพรรษากัน เวลาเข้าพรรษาโลกเขาก็บอกว่าเข้าพรรษาอดเหล้ากัน ประเพณีของพระโยมก็เอาไปใช้ แล้วประเพณีของโยมนี่พระเอามาใช้ไม่ได้ พระจะเอาประเพณีของโยมมาใช้ไม่ได้
แต่ปัจจุบันนี้เขากินอาหารกัน กินอาหารแบบฝรั่ง แล้วเราเข้าไปนะ พระเดี๋ยวนี้ในกรุงเทพฯ จะไปกันหมดแล้ว นี่แล้วคิดว่าสิ่งนี้มันเป็นนิสัยของคฤหัสถ์ มันเสียสมณสารูป มันเสียความเป็นพระ มันเสียไปหมดเลย ที่อโคจรพระก็ไม่ควรไป ที่อโคจร ที่ไหนที่คนพลุกพล่าน พระเราต้องออกวิเวก เวลาบวชขึ้นมานี่นิสัย ๔ อกรณียกิจ ๔ นี่ให้อยู่โคนไม้เป็นวัตร ให้ถือบิณฑบาตเป็นวัตร ให้ถือยา น้ำมูตรเน่า มูตรเน่านะนี่ยา ปัจจัย ๔ เครื่องอาศัย แล้วให้ดำรงชีวิตอย่างนี้ตลอดชีวิตเถิด แต่เราไม่เอาธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราไปเอาโลกเป็นใหญ่ นี่โลกเป็นใหญ่คือสังคมเป็นใหญ่ไง พอสังคมเขาถือกัน สังคมประพฤติปฏิบัติกัน เราก็ตามสังคมกันไป สิ่งที่ตามสังคมเขาไป เห็นไหม สังคมเป็นใหญ่ แล้วสังคมเป็นใหญ่ ดูสิเวลาฤๅษีชีไพรเขาอยู่ในป่านะ เห็นสัตว์มันผสมพันธุ์กัน นี่ยังมีความรู้สึก
กษัตริย์ในสมัยพุทธกาลเขาบอก เพราะว่าพี่ชายเป็นกษัตริย์ น้องชายนี่เห็นพี่ชายศรัทธาในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก เอ๊ะ ก็มนุษย์เหมือนกัน เพราะใจไม่ศรัทธาไง แล้วเข้าไปในป่า ไปเที่ยวป่าไปเจอฤๅษี ถามฤๅษีว่า
ประพฤติพรหมจรรย์อยู่ในป่าในเขา แล้วคิดอย่างไร?
เห็นสัตว์มันเสพกันก็ยังมีความรู้สึกเลย มันมีความเป็นไปเลย
นี่ไม่เชื่อไง พอไม่เชื่อก็ไปเอาความเห็นของนักบวชไปฟ้องพี่ชาย บอกว่าพระก็เป็นอย่างนั้นแหละ นี่พี่ชายโกรธมาก เพราะอะไร? เพราะศรัทธาในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บอกว่าจะประหารชีวิต ก่อนที่ประหารชีวิตให้เป็นกษัตริย์อยู่ ๗ วัน ให้เป็นกษัตริย์ก่อน พอขึ้นเป็นกษัตริย์ นี่เพราะจะโดนประหารคิดแต่เรื่องจะเป็นจะตายนะ มันกลัวไปหมดเลย ไม่มีความสุขเลย พอไม่มีความสุขเลย พอครบ ๗ วันแล้วพี่ชายก็จะเอาไปประหารชีวิต แล้วบอกนี่พอให้ไปประหารชีวิต ถึงประหารชีวิตแล้วบอกว่า
การเป็นกษัตริย์ ๗ วันนี่คิดอย่างไร?
มีแต่ความทุกข์ คิดแต่เรื่องจะตายๆ ตลอดเวลา เพราะตัวเองมันมีโทษประหาร
นี่พี่ชายก็สอน เห็นไหม เวลาพระเรานึกถึงมรณานุสติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประพฤติปฏิบัติธรรมขึ้นมา คิดถึงศีลธรรม มันจะไปคิดถึงเรื่องเห็นสัตว์มันเสพกัน แล้วมีความเห็นกับสัตว์นั้นไหม?
คนเรามันประพฤติปฏิบัติ นี่มันมิจฉาทิฏฐิไง ในฤๅษีชีไพรเขาไม่ได้คิดถึงการประพฤติปฏิบัติในมรรคญาณไง ในมรรคญาณ เห็นไหม ในอริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ถ้าคิดถึงเรื่องทุกข์ คิดถึงมรณะภัย คิดถึงต่างๆ มันจะไปคิดแต่เรื่องกามราคะไหม?
นี่ถ้าเรากำหนดขึ้นมา สิ่งที่เป็นไปได้กับสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ พี่ชายเป็นกษัตริย์นะ แล้วศรัทธาในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก อยู่ในพระไตรปิฎก จำชื่อไม่ได้ น้องชายเห็นว่าพี่ชายฟุ่มเฟือย ทำบุญกุศลฟุ่มเฟือยมาก นี่แล้วพระก็มนุษย์ไง มนุษย์ก็คือคนไง คฤหัสถ์ก็เป็นคน พระก็เป็นคน แล้วทำไมต้องไปปรนเปรอขนาดนั้น? ปรนเปรอขนาดนั้นเพราะใจท่านเป็นพระ เวลาใจท่านเป็นพระนี่ท่านคิดของท่าน ท่านมีสติสัมปชัญญะของท่าน แต่ถ้าเราเป็นคฤหัสถ์ เห็นไหม นี่เอาโลกเป็นใหญ่ สังคมเป็นใหญ่ไม่ได้
นี่ธรรมวินัยมันต้องดูกัน มันต้องศึกษาไง มีหูมีตาต้องศึกษานะ หูนี่เอาไว้ฟังว่าธรรมวินัยเป็นอย่างไร? ประพฤติปฏิบัติเป็นอย่างไร? ไม่ใช่เอาทิฐิมานะของตัวเข้ามา โลกคือทิฐิมานะ คือความเห็นของเรา ว่าเจตนาดี ทำดีๆ ทำดีมันเป็นความเห็น นี่เขาทำกันอยู่ทุกวันทำไมตาไม่มอง? ตานี่มองสิ ที่ไหนวางอย่างไร? ที่นั่นทำอย่างไร? ไม่ใช่มาถึงว่าเขาทำได้เราก็ทำได้ ทำเหมือนกัน
คนเหมือนคน คนหนึ่งเป็นคฤหัสถ์นะ เขาเป็นฆราวาส นี่เป็นฆราวาสเขาถือศีล ๕ ศีล ๕ เขามีคู่ครองของเขา คู่ครองของเขาถ้าไม่ผิดคู่เขาไม่ผิดศีลนะ แล้วผู้ประพฤติพรหมจรรย์มันต้องละเอียดกว่าเขา ถ้าความละเอียดกว่าเขา สิ่งที่การกระทำมันต้องมีสติสิ มีสติว่าเขาทำอย่างไร? เขาวางที่ไหน? นี่อะไรก็ไม่สำคัญ อะไรก็ไม่สำคัญ เอาแต่ความคิดตนเป็นใหญ่ เอาความคิดตนเป็นใหญ่ เอาทิฐิมานะมาไง เก็บให้หมดๆ เขาวางไว้ที่ไหน? ของเขาใช้ที่ไหน? เขาทำเพื่ออะไร? เขายังไม่ถึงเวลาใช้มันก็วางไว้อย่างนั้นแหละ ถ้าถึงเวลาใช้แล้วเดี๋ยวเขาจะใช้ของเขา
นี่มันหมั่นศึกษาสิ มานี่มีหูมีตานะ ครูบาอาจารย์ท่านบอกเลย ไปวัดไปวา หูก็มี ตาก็มี หูก็หูกระทะ ตาก็ไม้ไผ่ นี่มันไม่มีจิตวิญญาณ มันไม่มีสติสัมปชัญญะ มันไม่ใคร่ครวญ มันไม่รับรู้ ไม่รู้อะไรเลย นี่ไม่เป็นไรๆ อย่าเอาทิฐิมานะมาไว้ในวัด ทิฐิมานะนี่ขังมันไว้ในหัวใจ แล้วศึกษา ศึกษาซะ ศึกษาการกระทำของคนอื่นเขา คนอื่นเขาทำอย่างไร? เขาทำเพื่อประโยชน์อะไร? ทำไมเขามีที่มาที่ไป เขามีที่มาที่ไปเพราะเขามีครูบาอาจารย์ เขาไปศึกษามา หลวงปู่มั่นบอกไว้ เห็นไหม บอกว่า
ผู้ที่มีพรรษามากอย่าเข้ามาหาเรานะ ให้ผู้ที่อ่อนพรรษาเข้ามา มันจะได้มีข้อวัตรติดหัวมันไป
ข้อวัตรคือการประพฤติ ข้อวัตรคือประเพณีของพระกรรมฐาน พระกรรมฐานเขาอยู่กันอย่างไรไง เรามันอยู่มาจากโลก จะเอาทิฐิโลกเข้ามาในวัดไม่ได้หรอก ในวัดเขานี่ครูบาอาจารย์ท่านทำอย่างไร? ท่านมีความประสงค์อย่างไร? เราต้องศึกษาสิ ศึกษาแล้วท่านทำอย่างไร? วางอย่างไร? มองเขาก่อน มองเขาทำแค่ไหน? มีขอบเขตแค่ไหน? สิทธิของเราแค่ไหน?
นี่ไม่ใช่ว่าอะไรก็ทำได้ อะไรก็ทำได้ ไม่เป็นไรๆ มันหยาบเกินไป เหมือนกับเด็กๆ มันไม่มีความรู้อะไรของมันเลย แล้วมันก็เรียกร้องของมัน แล้วอวดเก่งด้วยนะ มันพูดอะไร เห็นไหม พูดว่าติเตียนผู้ใหญ่ได้ทุกอย่าง เพราะมันไม่มีปัญญาของมัน แต่ผู้ใหญ่เขาผ่านโลกมาเยอะนะ เขาผ่านโลกมานี่อะไรควร ไม่ควร? อะไรสมควร ไม่สมควร? สิ่งนี้มันเป็นเครื่องกระทำ นี่ถ้าพระมีธรรมวินัย มีการกระทำมันจะมีจุดยืนของมัน ทำอะไรก็จะไม่ผิดไม่พลาดไง ไอ้นี่หยาบมาก ทำอะไรตามอำเภอใจ แล้วไอ้คนที่เขาเป็นธรรม อะไรควรไม่ควรนี่อึดอัด อึดอัดนะ
นี่วันพระ พระผู้ประเสริฐ ถ้าเราประเสริฐกว่าเขา นี่คฤหัสถ์เขายกมือไหว้ทำไม? เขาไหว้พระทำไม? เขาไหว้พระเพราะว่าพระเป็นผู้ประเสริฐ พระเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะ เดี๋ยวนี้พระประพฤติตามหลังคฤหัสถ์ เพราะคฤหัสถ์เขา ดูสินี่การก่อสร้าง ในสิ่งก่อสร้างของเขา เขาไปรวดเร็วกว่าพระ เทคโนโลยีเดี๋ยวนี้เจริญมาก ทุกอย่างเขาไปได้หมดเลย แล้วพระตามหลังเขาต้อยๆๆ
ถ้าพระไปคิดเรื่องโลก คิดเรื่องปัจจัยเครื่องอาศัย เรื่องของโลกตามเขาไม่ทันหรอก แต่ถ้าพระคิดเรื่องธรรมและวินัย ถ้าเข้ามาถึงเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา ศีลมันเกิดอย่างไร? ศีลคือความปกติของใจ เราปกติไหม? ถ้าเราเป็นพระนี่ศีล ๒๒๗ ทำไมหัวใจเราคิดยิ่งกว่าโลกเขา โลกเขาเขายังคิดถึงเห็นโทษเห็นภัยของชีวิต ไอ้พระเราเป็นพระหัวโล้นๆ มันเคยควบคุมใจให้ปกติได้ไหม? ถ้าศีลมันไม่มีขึ้นมา ใจมันไม่ปกติ ใจมันมีแต่ความฟุ้งซ่าน ใจมีแต่ความคิด คิดเรื่องโลก คิดยิ่งกว่าโยมเขานะ คิดยิ่งกว่าคฤหัสถ์เขาอีก
คฤหัสถ์เขายังคิดตามหน้าที่ของเขา เพราะเขาประกอบอาชีพ ไอ้พระนี่มันต้องคิดหน้าที่ของพระ ต้องคิดเรื่องสมาธิ เรื่องภาวนา เรื่องการเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา มันคิดได้แต่เรื่องโลกๆ มันคิดออกไปทำไม? นี่ถ้ามันไม่ปกติของใจ แล้วสมาธิ สมาธิเป็นอย่างไร? แล้วปัญญา สุตมยปัญญาเป็นอย่างไรต้องอธิบายได้ การศึกษานี่ศึกษาอย่างไร? จินตมยปัญญาเป็นอย่างไร? ภาวนามยปัญญาเป็นอย่างไร?
นี่มันหน้าที่ของพระ หน้าที่ของพระมันเป็นอย่างนี้ พระผู้ประเสริฐ ประเสริฐตรงนี้เขาถึงยกมือไหว้ ถ้าเขายกมือไหว้ เขายกมือไหว้เราแล้ว แล้วเราไม่รู้อะไรเลยมันก็คฤหัสถ์ดีๆ นี่แหละ สมมุติสงฆ์ เห็นไหม เวลาสมมุติสงฆ์นะ นี่เวลาพูดถึงพระเราบวชมาแล้วนะ บวชมาแล้วสิทธิเสมอกัน เป็นสมมุติสงฆ์ด้วยกัน เกิดจากอุปัชฌาย์ เกิดจากสงฆ์ยกเข้าหมู่ ยกเข้าหมู่แล้วศีลเสมอกัน เวลาลงอุโบสถมันถึงไม่เป็นโมฆียะ มันไม่เป็นโมฆะ การกระทำของสงฆ์มันไม่เป็นอาบัติร่วมกัน
สิ่งที่เป็นอาบัติ เห็นไหม อาบัติตัวเดียวกันปลงอาบัติไม่ตก อาบัตินี่ ถ้าไปทำอาบัติร่วมกันปิดไม่ได้ ต้องอาบัติไม่ใช่ทำตัวเดียวกัน อาบัติต่างคนแต่ละตัวมันถึงปลงตก ปลงอาบัติตกนะ ปลงอาบัติตกคือปลงอาบัติแล้วกรรมมันไม่สืบต่อ แล้วมันไม่เป็นนิวรณธรรม ถ้าเกิดเป็นอาบัติ เป็นโทษ เวลามันเป็นนิวรณ์ไปนั่งสมาธินะหลอกตัวเอง ทำไม่ได้หรอก สมาธิเกิดได้ยาก นี่สมาธิเกิดขึ้นมาได้อย่างไร? แล้วสุตมยปัญญามันเป็นอย่างไร? จินตมยปัญญาเป็นอย่างไร? ภาวนามยปัญญาเป็นอย่างไร?
นี่ถ้าความประเสริฐอย่างนี้ ผู้ประเสริฐเขาถึงยกมือไหว้ด้วยคุณธรรม เขายกมือไหว้เราด้วยคุณธรรมนะ มีคุณธรรมในหัวใจ มีความองอาจกล้าหาญ มีความรื่นเริงในหัวใจ มีวิหารธรรม มีความสุขของเรานะ นี่พระผู้ประเสริฐเป็นอย่างนี้ ถ้าประเสริฐ ประเสริฐในหัวใจ แล้วเขาก็จะมีความชุ่มเย็นในหัวใจนะ พระก็ชุ่มเย็นในหัวใจ
คฤหัสถ์ เห็นไหม บริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เป็นเจ้าของศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้กับบริษัท ๔ อุบาสก อุบาสิกา เขาก็ชื่นใจ เพราะอะไร? เพราะมีผู้ชี้นำ มีนักรบ กาลเวลาของเขาน้อย เขาต้องทำมาหากิน เขาก็ให้พระประพฤติปฏิบัติ เพื่อให้รู้จริงแล้วชี้นำเขา แล้วเขาทำบุญกุศลขึ้นมาเพื่อหัวใจของเขาได้พัฒนาขึ้นมา แล้วเขาจะได้มีพระในหัวใจของเขาด้วย
วันพระผู้ประเสริฐนะ ประเสริฐต้องประเสริฐอย่างนี้ พระให้สมกับเป็นพระ อย่าเอาโลกเป็นใหญ่ อย่าตามโลกไป อย่าเอาเรื่องโลกมาคิด เทคโนโลยีต่างๆ เราใช้มัน นี่ต้องเป็นอย่างนั้นๆ ไร้สาระ ไร้สาระมาก เทคโนโลยีก็เป็นอย่างนั้นแหละ แต่หัวใจเรามันเหนือโลก มันใช้มัน เรื่องเทคโนโลยีก็ไว้นั่นแหละ แล้วเทคโนโลยีมันเปลี่ยนทุกวันนะ นี่เร็วมาก ความคิดเรื่องธุรกิจการค้าเขาเร็วมาก เรานี่ล้าหลัง ความคิดเราล้าหลังไม่ทันโลกเขาหรอก
แล้วถ้าไปศึกษา ศึกษาก็เป็นมนุษย์หัวโล้นไง มนุษย์หัวโล้นๆ คือไปศึกษาแข่งเขา เห็นไหม ในกุฏิมีแต่ตำรับตำราเรื่องเทคโนโลยี แต่กุฏิไม่มีหนังสือธรรมะเลย ไม่มีประวัติครูบาอาจารย์เลย ไม่มีธรรมที่เราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเลยนะ เราเป็นอะไร? หน้าที่ของเราเป็นอะไร?
เราเป็นนักรบนะ รบกับกิเลส ไม่ใช่เราเป็นนักรบที่จะไปแบกโลก นั่นมันเรื่องโลกๆ ไม่ต้องไปแบกมันหรอก เอาชีวิตเราให้รอด ให้เราเป็นพระจริงๆ ให้เป็นสมกับเป็นพระ ให้เขาสมใจของเขาว่าเขามากราบไหว้แล้วให้เขาได้บุญกุศลของเขากลับบ้านเขาไป เอวัง